วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความรู้เรื่องระบบเทรด

ขอบคุณบทความจากน้องนนท์ ผู้สอนเทรด Forex ครับ

ผมได้รวบรวมข้อมูลจากผู้สำเร็จให้แล้ว ที่เหลือ อยู่ที่ตัวคุณเอง
ไม่ยาก และไม่ง่ายเกินไป Forex ไม่ต้องการคนเก่ง
แต่ต้องการคนที่มีความอดทน มีวินัย มีสมาธิ
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"
อ่านและทำตามกฏพื้นฐานนี้ให้ได้เสียก่อนเริ่มต้นเทรด

เริ่มจากภาษาที่ใช้เป็นทางการที่เรียกใน กราฟ  อย่างเป็นทางการ

Market ตลาด       (ควรเรียนรู้ธรรมชาติตลาด ตลาดมีนิสัย มีความรู้สึกและมีอารมณ์ เสมอๆ)
Position sizing  จำนวนการ ซื้อ-ขาย
Entries จุดเข้าซื้อ    (รอจังหวะและหาจุดเข้าที่ดีโอกาสกำไรสูง)
Stop  จุดยอมขาดทุน   (ตัดขาดทุนให้เร็ว)
Exit การขายทำกำไร   (มองหาเป้าหมายและความน่าจะเป็นของเป้าหมาย)
Tactics กลยุทธ์     (วางแผนดี มีวิธีเล่นอย่างเป็นระบบที่แน่นอน)

หลักที่สำคัญที่สุด จุดตัดขาดทุน  Cut loss เมื่อรู้ว่าแนวโน้มวิ่งผิดทาง
Cut loss เมื่อไม่เป็นไปตามระบบที่เราวางแผน
หลักการมองกราฟทางเทคนิคมองแบบ มีขึ้นและก็มีลง  ขึ้นแล้วลง  ลงแล้วก็ขึ้น
คิดและวางแผนก่อนเริ่มการ ซื้อ-ขาย
ซื้ออะไร ซื้อเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่ ซื้อตอนไหน
จุดหนี อยู่ตรงไหน(ยอมตัดขาดทุน)
และจะขายทำกำไรเมื่อไหร่

ข้อคิดเตือนใจนักลงทุน
"ความผิดพลาดส่วนใหญ่เกิดจาก อารมณ์ ของเราทั้งนั่น"
"เมื่อมองตลาดยังไม่ชัดเจน ก็ควรลดน้ำหนักการลงทุนลง"
"เตรียมพร้อม วางแผนให้ดี รอบคอบ ระมัดะวัง อย่าคาดหวังมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยง''

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

กฏข้อใหญ่ๆมักจะพูดเสมอให้คิดเสมอๆ
การเข้าครั้งนี้จะไม่ขาดทุน (เพื่อเตือนสติให้ตัวเอง)
              รักษาเงินต้นไว้ให้ดี
              ควรทำอย่างไรจึงได้กำไร (หลักอะไรบ้าง วิธีใดบ้าง เวลา จังหวะ ความเหมาะสม)
              และควรเทรดอย่างไรให้เทรดได้ผลกำไรต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
1.  อย่าพยายามเทรดในช่วงที่เราไม่รู้
     (ช่วงที่อ่านกราฟไม่ออก มองไม่ชัดเจน กราฟไม่สวย ไม่แน่ใจ...)
2.  อย่ารีบจนเกินไปและยื้อการขาดทุน
     ( อย่าปล่อยให้ความโลภยืนเหนือเหตุผล และขาดทุนเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมา)
3.  อย่าต่อต้าน แนวโน้มหลัก
     ( กราฟมักจะมีแนวโน้มเสมอๆ ระยะสั้นๆอาจจะsideway แต่ระยะเวลามากขึ้นยังคงเป็นขาขึ้นอยู่..)
4.  จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
     ( ทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยลง ทำอย่างไรที่จะหาวิธีในการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ เรียนรู้ความผิดพลาด ตลาดสอนอะไรเรา ตัวไหนที่มักจะทำกำไรให้เราเสมอๆ หาเหตุและผล เพราะอะไร)          
5.  ทำการบ้านก่อนเทรดเสมอๆ จดและบันทึกลงสมุด
     ( มองกราฟ วิเคราะห์กราฟจาก 1d --->4h--->1h--->30h--->15m ความสัมพันธ์เป็นยังไง เริ่มลงทุนควรเริ่มที่เท่าไหรก่อน ตามความเหมาะสมของ ลักษณะกราฟว่ามั่นใจแค่ไหน หลายๆ คนมักจะมองข้ามการจดบันทึก จดตัวที่เราสนใจจุดไหนน่าสนใจ ถ้าเข้าแล้วจุดไหนควรออกยอมตัดขาดทุน แนวรับแถวไหน แนวต้านแถวไหน มาถึงตรงนี้ถึงเข้าเลื่อนลงไปตัดขาดทุนทันที หลายๆคนมักมองข้ามแบบแผนนี้เสมอๆส่วนใหญ่มักเปิดกราฟแล้วเทรดเลย เป็น วิธีคิดที่หยาบเกินไป ยังไม่ละเอียดพอ)
6. มีสมาธิในช่วงนั่นๆ (เงินทำเงินควรตั้งใจและมีสมาธิ)

ลงทุนโดยใช้ Technical Analysis

ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน มองกราฟแบบง่ายๆ มองกราฟให้ออกก่อน แบบที่เราเข้าใจ มีแนวโน้ม ไม่ซับซ้อนเกินไป มองแนวรับ แนวต้านที่ชัดเจน(แข็งแกร่ง)

"เมื่อมองกราฟ แล้วคุณเข้าใจ"

อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
บัฟเฟตต์ให้แนวคิดค้นแนวทางสู่ความสำเร็จโดยลงทุนหุ้นที่ไม่ซับซ้อน โดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถเข้าใจได้ หลักการที่ บัฟเฟตต์เรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของเขา คือ “คุณไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยากๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยียม”  “ทำให้ง่ายๆคือเป้าหมายของคุณ” นี่คือแก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ หลักการง่ายๆนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

"ถ้าคุณไม่เข้าใจ มองกราฟไม่ออก
อย่าเข้าซื้อ-ขายเด็ดขาด"

วางแผน จดบันทึก และลากวาดเส้นลงบนกราฟ นำหลักการของ John Murphy มาต่อยอด

1. มองหาแนวโน้ม
ใน กราฟมีแค่ 3 แบบ ขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ใช้กราฟวิเคราะห์ราคาจากระยะยาวเมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นว่าตลาดเป็นรูปแบบไหน ทำอะไรอยู่และจะมองภาพรวมตลาดได้ง่ายขึ้น

เมื่อมองภาพระยะยาว(กราฟวัน สัปดาห์ เดือน)แล้วจึงค่อยมามองภาพระยะสั้น(ระหว่างวัน) การไปดูกราฟระยะสั้นๆก่อนมักจะทำให้มองผิดพลาดได้ง่ายกว่า(เกิดการหลอก ของกราฟ)เพราะแนวโน้มกราฟมักจะเดินทางตามกราฟระยะยาวเสมอๆ ดังนั่นถ้าคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น วันต่อวัน นักเก็งกำไร คุณควร ซื้อ-ขาย ตามแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว

2. เดินทางไปกับแนวโน้มนั่นๆที่เกิดขึ้น
พิจารณาแนวโน้มที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนเมื่อรู้แล้วจึงเดินตามแนวโน้มทางนั้น แนวโน้มของตลาดจะมีทั้ง  ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วจึงเลือกกราฟให้เหมาะสม เมื่อถึงเวลาเทรดให้เทรดไปตามทิศทางแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก

''สำคัญ'' ซื้อเมื่อตอนที่ราคาลดต่ำลงมา(ลงมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวรับ)ในแนวโน้มของเทรนขาขึ้น
            ขายเมื่อตอนที่ราคาดีดตัวขึ้นไป(ขึ้นมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวต้าน)ในแนวโน้มของเทรนขาลง

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวัน รายสัปดาห์

ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ซื้อ- ขายภายในวันเดียว ใช้กราฟวันและระหว่างวัน

อย่างไรก็ตามจะเลือกเทรดแบบไหน เราต้องดูกราฟที่ระยะยาวกว่าเพื่อดูแนวโน้มก่อน แล้วจึงใช้กราฟระยะเวลาที่เราต้องการเทรดสำหรับการซื้อ-ขาย

3. หาจุดต่ำสุดของราคาและจุดสูงสุดของราคา
รู้จุดต่ำสุด คือ แนวรับ จุดสูงสุด คือ แนวต้าน หาให้เจอ(แล้วขีดไว้กันลืม)
หาแนวรับและแนวต้าน
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ซื้อที่แนวรับ(ใกล้ๆแนวรับ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ขายที่แนวต้าน(ใกล้ๆแนวต้าน) ในช่วงแนวโน้มขาลง

เมื่อ ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจากนั้นจะกลับมาเป็น(แนวรับ) เมื่อราคาวกกลับลงมาหรือเรียกว่า สูงเก่ากลายเป็นจุดต่ำใหม่ (ของแนวโน้มขาขึ้น)
เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดจากนั้นจะดีดกลับมาเป็น(แนวต้าน) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป เรียกว่า ต่ำเก่ากลายเป็นจุดสูงใหม่ (ของแนวโน้มขาลง)
ดูตัวอย่างรูป ขาขึ้น และ ขาลง

4. การปรับฐาน ราคาจะปรับฐานลึกแค่ไหน
การขึ้นก็ขึ้นเป็นรอบ ในรอบการขึ้นก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
การลงก็จะลงเป็นรอบ ในรอบการลงก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อลงต่อ
รอบการขึ้น รอบการลงมีการปรับฐานเหมือน คลื่น
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวที่ระดับ 50% ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.38%) ของการปรับตัวและมากที่สุดสองในสาม(66.66%)

สำหรับการปรับตัวตามตัวเลข Fibonacci คือ 38% และ 62%เป็นตัวเลขที่สำคัญของการปรับฐานหรือปรับตัวของราคา
เมื่อ เกิดแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อควรรอการปรับฐานโดยดูตามระดับตัวเลข Fibonacci ที่สำคัญๆเพราะมักจะเป็น แนวรับที่สำคัญ เพื่อลงมาสะสมแรงแล้วไปต่อ
ดูตัวอย่างรูป เตรียมลาก และ fibo@ จังหวะแรก fibo@2จังหวะที่สองของแนวโน้ม fibo@3จังหวะที่สามของแนวโน้ม

5. ลากเส้น(แนวโน้ม)
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นการมองและลากง่ายๆแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นแนวโน้ม
ขาขึ้นของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วขึ้นต่อ
ขาลงของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วลงต่อ
จนกว่าจะมีการทะลุเส้นแนวโน้มนั่นๆได้มักจะเกิดสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นๆ
เส้น ที่ดีควรมีการแตะของราคาอย่างน้อยถึงสามครั้ง(ไม่ทะลุหลุดเส้น)  เส้นยิ่งยาวยิ่งดีบอกแนวโน้มนั่นแข็งแรง(ลากแล้วหลุดเร็วแสดงเส้นสั้น)
และยิ่งถูกทดสอบโดยการแตะที่เส้นมากเท่าไหร่(เหมือนสะสมแรง)ยิ่งเป็นนัยสำคัญที่ต้องฝึกลากบ่อยๆแล้วจะสามารถไปประยุกต์เองเป็นครับ

6. ใช้เส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ – ขาย บอกถึงแนวโน้มขณะนั้นยังเกิดขึ้นอยู่หรือว่าเปลื่อนแล้ว
เส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกแนวโน้มอนาคตว่าราคาจะไปทางไหนแต่ก็สามารถบอกถึงการเปลื่อนแนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย   ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น 4และ9วัน  9และ18วัน หรือ 5และ20วันเป็นต้น
สัญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อตัดกันขึ้นซื้อ ตัดกันลงมาขาย
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
ตัวอย่างรูป เส้นค่าเฉลี่ย 40 วัน (sma40)

สามารถลากจากไหนก็ได้ชอบแบบที่ราคาเปิดปิด หรือ ชอบลากแบบใส้เทียน ใช้แบบไหนก็ได้ครับฝึกดูไปเรื่อยๆครับ แต่เมื่อหลุดแล้วไม่เป็นไปตามทิศทางที่เรามองมีทางเดียวเลยครับ ยอมตัดขาดทุนแล้วเริ่มครั้งใหม่ ไม่มีระบบไหนถูกทุกครั้งครับ ทุกระบบถูกเลือกมาให้ถูกมากกว่าผิด แต่ระบบทุกระบบก็ต้องการทำตามอย่างมีวินัยสูงด้วยเช่นกัน การมีวินัยจะช่วยให้การเสียหายขาดทุนน้อย แต่ถูกทางจะกำไรมากเสมอๆครับไม่เชื่อลองมีวินัยดูครับ....

ข้อสอง ระยะสั้น มีตัวpivot ที่ใช้ดูระยะ 15m ใช้ได้ดีในการเล่นหนึ่งวัน ส่วนระยะกลาง ระยะยาว ต้องลากมือเพื่อหาเป้าหมายหรือจะดูจาก แนวรับ แนวต้าน อดีตว่าเคยขึ้น ลงไปที่จุดไหนและอนาคตมักจะวิ่งที่พักตัวที่ระดับจุดที่อดีตเคยขึ้นมาถึง ลงมาถึงเช่นกันครับ

ข้อสาม ส่วนใหญ่น่ะครับ พอมีแนวโน้มขึ้นหมดรอบขึ้นแล้วมักจะเกิดคลอเคลีย(sideway)หรือพักตัวก่อน เสมอแล้วมีแนวโน้มครั้งต่อไป  เปรียบ เสมือนการวิ่งครับเมื่อเราวิ่งมานานเราเหนื่อยเราก็ต้องพักก่อน เมื่อพักเราก็หายเหนื่อย(สะสมแีรงนั่นเอง) พอหายเหนื่อยเราจึงวิ่งต่อ สรุปแล้วเกิดแนวโน้มครบหนึ่งรอบแล้วพักเพื่อสะสมแรงแล้วจึงวิ่งครั้งต่อไป ครับ ราคาการขึ้นลงของกราฟก็มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเช่น เดียวกันครับ เป็นไปตามธรรมชาติทั้งนั่นครับ ขยันมอง ขยันสังเกตุและขยันมีวินัยครับ เดี๋ยวก็เก่งครับ

ฝึกให้ทานจนเป็นนิสัย ความโลภจากกำไรและควมโลภของการไม่กล้า stop loss จะหายไปเอง

ว่ากันด้วยออกแบบ "ระบบ''

ก่อนจะเริ่มวางระบบ อยู่ๆจะวางระบบเลยไม่ได้ พื้นฐานต้องมี มีความเข้าใจแล้วพอสมควร มองและแยกให้ออกว่า ระบบที่ดีนั่นต้องมีปัจจัยอะไรมาร่วมด้วย ที่จะทำให้ได้กำไร มากกว่าขาดทุน

โดยจะเลือกมา 2 ระบบเพื่อใช้งาน
โดยก่อนเริ่มระบบ เราจะสร้างเงือนไขให้กับระบบ กระบวนการคิดโดยการสร้างเงือนไข
เงือนไขโดย โดยมองแนวโน้ม และรอจังหวะ HH HL ผสมกับการเกิด break out
ระบบแรก 1 2 3 4  ผสมกับการ HH HL
ระบบที่สอง เส้น MA ตัดกัน ผสมกับ HH Hl และ break out
เมื่อเลือกมา 2 ระบบ โดยกำหนดที่จะเล่นที่ระดับ 5 m โดยวิเคราะห์ภาพ 1h 4h เป็นหลักแล้วมาเล่นสั้นโดยตามระบบ เงือนไขโดย เล่นจบภายใน หนึ่งชั่วโมง ถึงระดับ สามชั่วโมง (โดยสามารถออกก่อน เมื่อบวกไปแล้วที่ระดับ 10-20 จุด )และปิด ก่อนครึ่งของทุนเพื่อลดความเสี่ยงเมื่อมาถึงระดับ แนวรับ แนวต้านก่อนจะถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้

กำหนดช่วงที่จะเข้า ซื้อ ขาย โดยจบในวันนั่น โดยที่เริ่มตามระบบเมื่อเวลา 12.00-16.00 ภาคบ่ายรอบแรกของการตามระบบ
 รอบต่อไป ช่วงเวลา 19.00-23.00 4 ภาคค่ำ
เงือน ไขของรอบเวลา โซนยุโรปและอเมกา เพื่อต้องการแรงหนุนของการซื้อ ขายให้มีวอลลุ่มแล้วตามระบบในช่วงโซนเวลานั่นๆ(ในช่วงมีแรง ซื้อ ขายตามโซนตลาด)
โดยทำตามวินัยทุกครั้งของระบบ

กรณีศึกษาเพื่อไปใช้กับระบบของตัวเอง

โดยระบบแรก 1 2 3 4
โดยมองระยะ 1h ยังสามารถอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้
มาตามระบบในระยะสั้น 5m
ระบบที่ 2 โดย ใช้หลัก MA เส้นค่าเฉลี่ยตัดกัน

โดยในระบบ จะใช้เส้น ระหว่าง 50 กับ 8  SMA แบบง่ายๆ
ทำไมต้องใช้สองเส้นนี้ จังหวะเข้าที่ไม่ต่ำเกินไป และจุดออกได้จุดออกที่ดี คือมองภาพระบบแล้ว เป็นระบบที่ กำไร มากกว่า ขาดทุน

เมื่อ เราเห็นแล้วว่า เมื่อวางแผนได้ ระบบ แล้ว เราจะเข้าใจในการเทรด รู้ที่ไป ที่มาว่าทำไมต้องเข้า ออก และเป็นวินัยการลงทุนที่แท้จริง ไม่ใช้ลงทุนแบบการพนัน
...แล้ววันนี้คุณมีระบบกันแล้ว หรือ ยัง..

วิเคราะห์ทองคำ คืนวันที่ 9 ตค.58


วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เจาะลึกเทรด Forex อย่างไรให้ได้มากกว่าเสีย

เจาะลึกเทรด Forex อย่างไรให้ได้มากกว่าเสีย

1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่การประสบความสำเร็จ
แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
-  การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
-  การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
-  การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
-  การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
-  การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management) การจัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม
แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ไกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด)  ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ
2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
อย่าคิดสวนเทรน  ให้หาสัญญาณ  Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง ( ฺำBearish Market ตลาดแดนลบ)
3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิงสำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย
4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้าราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ   ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด  -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance
5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)
ก่อนทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย ( Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy  ก็ได้
6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)
สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear)  อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position)  ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้
7. อย่าเทรดตามคนอื่น  ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด
8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อคุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก
9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)
เมื่อคุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่
10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่ควรเปิดเทรดมากเกินไป  ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป

กฎ 10 ข้อในการเทรด Forex

กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ
หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

1. ดูแนวโน้ม
เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5. ใช้เส้นแนวโน้ม
เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

6. ติดตามค่าเฉลี่ย
หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

8. มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Gold วิเคราะห์ทอง 6 ตค 58


ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก 5 ตค : ดอลล์แข็งเทียบเยน คาด BOJ ผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบเงินเยนและสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (5 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมในช่วงสัปดาห์นี้

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1180 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1225 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.5150 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5193 ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 120.47 เยน จาก 119.88 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9758 ฟรังก์ จาก 0.9707 ฟรังก์

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7094 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7032 ดอลลาร์

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งแกร่ง แม้ว่ามีการเปิดเผยข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอเมื่อคืนนี้ ซึ่งตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐ หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดในเดือนก.ย. โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแรงได้หนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยลบสำหรับดอลลาร์

สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 56.9 ในเดือนก.ย. จากระดับ 59 ในเดือนส.ค. โดยตัวเลขเดือนก.ย.เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา หรือในรอบสามเดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงแตะที่ 57.5

ขณะเดียวกัน มาร์กิต อิโคโนมิกส์ รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 55.1 ในเดือนก.ย. ปรับตัวลดลงจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 55.6 และลดลงจากระดับ 56.1 ในเดือนส.ค.

ทั้งนี้ ดอลลาร์ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเงินเยน ท่ามกลางคาดการณ์ที่ว่า BOJ จะประกาศนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในการประชุมที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 6-7 ต.ค.นี้ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นฟื้นตัวจากภาวะถดถอย

การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ BOJ มีแนวโน้มจะทำให้เงินเยนอ่อนแรงลงเมื่อเทียบดอลลาร์  เนื่องจากจะลดความน่าดึงดูดใจของเยนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

5 ข้ออ้างยอดฮิต ที่ทำให้คุณไม่เริ่มเทรด Forex ซะที

5 ข้ออ้างยอดฮิต ที่ทำให้คุณไม่เริ่มเทรด Forex ซะที
5ข้ออ้าง

5 ข้ออ้างยอดฮิต ที่ทำให้คุณไม่เริ่มเทรด Forex ซะที

“99% ของผู้ที่ล้มเหลว มาจากคนที่มีลักษณะนิสัยชอบสร้างข้ออ้างให้กับตนเอง” — George Carver นักลงทุนชาวอเมริกัน

ช่วงเวลาพักร้อนที่ยาวนาน อาจทำให้ใครบางคนเริ่มขี้เกียจที่จะเอาตัวเองมาอยู่หน้าจอ Chart อีกครั้ง แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แค่เพียงได้ยินชื่อ Forex มันก็ทำให้พวกเขาตื่นตัว และความกระตือรือร้นเหล่านี้เองได้ทำให้พวกเขากลายเป็น เทรดเดอร์ Forex อย่างเต็มตัว ต่อไปนี้เราจะมาพูดถึง 5 ข้ออ้างที่คุณไม่ควรทำโดยเด็ดขาด

1) ฉันไม่มีเวลาจะมานั่งเทรดหรอก

หลายคนมักมีความเข้าใจผิดๆ ว่าเมื่อคุณเทรด Forex คุณจำเป็นต้องตื่นตัว และนั่งเฝ้าจอ Chart อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เทรดเดอร์บางคนถนัดในวิถีทางแบบนี้ แต่นั้นก็ไม่ใช่ทางเลือกเดียวที่จะเทรด Forex ได้

คุณสามารถมองการเทรดแบบ Long Term ได้เช่นกัน ถ้าคุณทำงานประจำที่ต้องเข้างาน 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น แทนที่นั่งเฝ้าจออย่างไร้หลักการ คุณสามารถนั่งวิเคราะห์ตลาด และเทรด Forex หลังมื้อเย็นก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณกลับมาถึงบ้าน 6 โมงเย็น ใช้เวลาทานข้าว 1-2 ชั่วโมง จากนั้นก็นั่งวิเคราะห์ใน Time frame ระยะยาว (H4, D1, W1, MN) ตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึง 4 ทุ่ม ตั้งค่าออเดอร์เป็นประเภท Limit Order (ดูวิธีการตั้งค่า Order ได้ในวิดิโอการสอนพื้นฐานของเรา คลิก!!)) จากนั้นก็เข้านอน((z..Z))

มันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

2) ฉันไม่มีเงินมากพอ

ผมเข้าใจคุณจริงๆว่ามันเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผล แต่!! ข้ออ้างก็คือข้ออ้างอยู่วันยันค่ำ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ทั้งหลายที่ต้องการเทรด Forex นั้นง่ายมากก็คือ ไปเปิดบัญชี Demo ซะ.. มันไม่ได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง และคุณก็ไม่ได้เสียเงินสักบาท (ตรงนี้เราก็มีวิดิโอสอนฟรี…ให้เช่นกัน คลิก!!)

มาถึงตรงนี้ ถ้าคุณไม่อยากเปิดบัญชี Demo คุณก็สามารถเปิดบัญชีจริงด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 25 $ โดยไม่มีขนาดการซื้อ-ขายขั้นต่ำก็ได้ คุณสามารถเทรดได้ 1 ยูนิตเช่นกัน ถ้าคุณต้องการ แต่คุณต้องแน่ใจว่าคุณสามารถยอมรับการสูญเสียในการเทรดนั้นๆได้ การเริ่มต้นด้วยทุนน้อย อาจไม่ได้ทำให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ในเร็ววัน แต่มันช่วยให้คุณเริ่มเทรด Forex ได้จริงๆ และรับรู้ถึงผลกระทบทางจิตใจ ระหว่างที่เทรด Forex ด้วยเงินจริงนั้นเอง

3) มันเสี่ยงเกินไป

การเทรด Forex โดยปราศจากความรู้ และการฝึกฝน นั้นคือความเสี่ยงอย่างแท้จริง และสิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิด หรือไม่พยายามเข้าใจก็คือการเทรด Forex นั้นไม่ได้เสี่ยงมากไปกว่า การลงทุนด้านอื่นๆเลย

เฉกเช่นเดียวกับการลงทุน หรือธุรกิจทั่วไป มันมีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ กุญแจในการสร้างกำไรนั้นก็คือ การจัดการความเสี่ยงด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมกับสภาวะตลาดที่หลากหลาย และการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ถ้าคุณเป็นมือใหม่เอี่ยมในการเทรด Forex คุณสามารถเริ่ม เรียนรู้การจัดการความเสี่ยง (อาทิ การตั้งค่า Stop Loss และ ขนาดการซื้อขาย คลิก!! เรียนรู้บทเรียนพื้นฐานกับเราได้เลยครับ)

ความเสี่ยงอยู่ในทุกสิ่งที่เราทำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรืออุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง  จงยอมรับ และควบคุมมัน ด้วยสติ และสามัญสำนึกที่มีอยู่ในตัวคุณ

4) การเทรด Forex เป็นเรื่องหลอกลวง

การเทรด Forex โดยตัวมันเองนั้น ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น แต่อาจเพราะกฎระเบียบที่ยังไม่รัดกุมพอ จึงทำให้มิจฉาชีพทั้งหลายใช้เป็นช่องว่างในการเอาเปรียบเทรดเดอร์ และนักลงทุนทั่วไป

หมายเหตุ: การเปิดบริษัทโบรกเกอร์สำหรับ Forex ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่การเทรด Forex นั้นไม่ถือว่าผิดกฎหมาย อยากรู้ว่าทำไม Forex ถึงผิดกฎหมายไทย คลิก!!ดูความเป็นมาได้เลยครับ)

คุณสามารถเช็คข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับกฎระเบียบการลงทุน ได้จากหน่วยงานระดับประเทศ อย่าง CFTC หรือ NFA เป็นต้น หรือจะสอบถามจากบุคคลที่เป็นเทรดเดอร์ Forex ไม่ว่าจะทาง Facebook page หรือตามห้องสนทนา ก่อนที่คุณจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ก็ได้ และสิ่งที่ผมอยากเตือนสำหรับมือใหม่!! ก็คือ คุณควรหลีกเลี่ยงการซื้อระบบเทรดโดยปราศจากความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นพวก EA รวมถึง Robot ทั้งหลายที่การันตีจำนวน pip หรือ กำไรที่คาดว่าจะได้ด้วยเช่นกัน นั้นเป็นเพราะมันไม่มีอะไรสามารถการันตีสภาวะตลาดได้ นอกจากความไม่แน่นอน

เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมทั่วไป กลลวงต่างๆในตลาด Forex ไม่ได้แตกต่างไปจากความเชื่อผิดๆ ในการลงทุนด้านอื่นๆเลย คุณแค่ต้องศึกษาด้วยตนเอง และสร้างการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเงินลงทุนในกระเป๋าของคุณ

5) การเทรด Forex นั้นเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจ

ในบรรดาข้ออ้างทั้งหลายที่ผมเคยได้ยินมา นี้ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ !$!#%…ปัญญาอ่อนที่สุด

ทุกวันนี้โลกอินเตอร์เน็ต หรือ Google ทำให้การค้นหาข้อมูลเป็นเรื่องง่ายกว่าสมัยก่อนอย่างมาก ถ้าคุณยังมีเวลาเลื่อนเมาส์ หรือ นิ้วของคุณ อยู่บน Facebook เพื่อมองหาร้านอาหาร หรือสถานที่ออกเดท นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเข้าไปหาข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex ในวันนั้นด้วยเช่นกัน

พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับ Forex จนเป็นนิสัย และมันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสักสตางค์เดียว เพื่อแลกกับการศึกษา, ข่าวสาร และเครื่องมือต่างๆ ข้อมูลคุณภาพทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็น ของฟรี!! 

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเรียนรู้พื้นฐานตลาด Forex ได้จากบทความต่างๆในเว็บไซต์ของเรา และถ้าคุณเป็นคนขี้เกียจอ่าน เราก็ยังมีวิดิโอการเรียนรู้พื้นฐาน Fast Track To Forex ให้คุณสมัครสมาชิกเข้ารับชมฟรี!! สำหรับข่าวสารตลาด Forex คุณสามารถติดตามได้จาก Fxstreet.com ซึ่งเว็บไซต์นี้จะให้ข่าวสารที่อัพเดตล่าสุด และถ้าคุณเริ่มอยากฝึกเทรด คุณก็สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม Metatrader 4 มาลองเล่นดูก่อนก็ได้

ผมเข้าใจว่าการเทรด Forex นั้นยังคงดูเป็นเรื่องใหม่ที่น่าหวาดเสียวสำหรับใครหลายคนอยู่ แต่ถ้าคุณสนใจมันจริงๆ มีเหตุผล หรือข้ออ้างอะไรที่จะไม่ลองศึกษามันดูละครับ ด้วยการเรียนรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ มันจะให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพอย่างมากต่อความสำเร็จของคุณ

เรียบเรียงและแปล: Forex Trader’s Way

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยูโรกรุ๊ปเตรียมหารือประเด็นเบิกจ่ายเงิน 3 พันล้านยูโรแก่กรีซวันจันทร์นี้ (5 ตค 58)

รัฐมนตรีคลังยูโรโซน หรือยูโรกรุ๊ป จะประชุมร่วมกันที่ลักเซมเบิร์กในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เพื่อพิจารณาทางเลือกเชิงกลยุทธ์จากรัฐบาลใหม่ของกรีซในความพยายามที่จะให้มีการเบิกจ่ายเงิน 3 พันล้านยูโร (3.36 พันล้านดอลลาร์) ตามกำหนด

เจ้าหน้าที่ยุโรปรายหนึ่งกล่าววานนี้ว่า การประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นหลังจากที่กรีซได้จัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดไปเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีรัฐบาลใหม่ โดยคาดว่านายยูคลิด ซาคาโลตอส รัฐมนตรีคลังของกรีซ จะชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับลำดับความสำคัญด้านนโยบายของรัฐบาลกรีซ

นอกจากนี้ ยูโรกรุ๊ปยังจะเรียกร้องให้กรีซนำเสนอความคืบหน้าของการดำเนินการมาตรการรัดเข็มขัดตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเจ้าหนี้ที่อนุมัติเงินช่วยเหลือครั้งที่สามแก่กรีซในวงเงิน 8.6 หมื่นล้านยูโร

ภายใต้ข้อตกลงของสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการเงิน กรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 2.6 หมื่นล้านยูโรในรอบแรกจากกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) โดยจนถึงปัจจุบัน มีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งหมด 2.3 หมื่นล้านยูโร และยังเหลืออีก 3 พันล้านยูโรตามเงื่อนไขที่กรีซต้องดำเนินการเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จ

เงินช่วยเหลือจำนวน 3 พันล้านยูโรตามที่ตกลงกันในข้อตกลง มีกำหนดต้องเบิกจ่ายอย่างช้าที่สุดภายในสิ้นเดือนพ.ย. เจ้าหน้าที่ระบุว่า การประเมินครั้งแรกเกี่ยวกับมาตรการรัดเข็มขัดของกรีซจะเริ่มในเดือนต.ค.นี้ แต่ยังไม่ได้ระบุเวลาที่ชัดเจน สำนักข่าวซินหัวรายงาน

วิเคราะห์ EUR/USD รายสัปดาห์ วันที่ 5 - 9 ตค 58

EUR/USD

Floor pivot points

3rd Sup2nd Sup1st SupPivot1st Res2nd Res3rd Res
1.09401.10371.11231.12211.13071.14041.1490
EUR/USD - Floor pivot points as of Oct 3, 2015

สงครามค่าเงิน ตะวันออก ตะวันตก

ไพ่น๊อคดอลล่าร์ของจีนได้แบออกมาให้ทุกคนเห็นแล้ว ไพ่ใบนี้คือAsia Infrastructure Investment Bank หรือAIIBที่จะเปิดดำเนินการในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ด้วยเงินทุนประเดิม$100,000ล้าน

ขงเบ้งทิ้งไพ่AIIBลงเมื่อไหร่ ดอลล่าร์จะหงายเก๋ง

ที่ร้ายไปกว่านั้น ไพ่AIIBจะฆ่าทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารโลก และธนาคารกลางของสหรัฐหรือยูเอสเฟดเดอรัลรีเสิร์ฟแบงค์ไปพร้อมๆกัน

เหมือนกับเป็นการกินโต๊ะจีนที่ห้อยเทียนเหลา

AIIBจะกินเรียบเพราะว่าจีนวางโครงสร้างการเงินโลกใหม่ที่อิงความมีส่วนเกี่ยวข้องของนานาประเทศที่เข้ามาร่วมแล้วจะได้ประโยชน์กันทุกประเทศ ผิดกับระบบดอลล่าร์ที่ผูกขาด กันความมีส่วนร่วมหรือแบ่งผลประโยชน์ให้ประเทศอื่นออกไป พูดง่ายๆ คนอื่นยิ่งฉิบหายมาก สหรัฐยิ่งได้กำไรเจ้าเดียว

AIIBมีสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง57ประเทศ มีจีนเป็นเจ้ามือ และมีประเทศในเอเซียและยุโรปเป็นลูกมือ ไทยแลนด์เป็นลูกมือที่มีระดับพอสมควรเพราะว่าจะลงขันถึง$1,500ล้าน

ที่ล้ำลึกคือAIIBจะปล่อยกู้โครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศกำลังพัฒนาด้วยเงินหยวน และเงินสกุลของประเทศที่เป็นสมาชิก สร้างความแตกต่างด้วยการแข่งกับธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซีย หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆที่ปล่อยกู้เป็นดอลล่าร์ผูกขาดอย่างเดียวให้ทุกประเทศเป็นทาสหรือเป็นหนี้ดอลล่าร์

สมมุติว่ารัฐบาลลาวต้องการลงทุนสร้างพัฒนาเครือข่ายเทเลคอมมีมูลค่า$200ล้าน ลาวสามารถกู้เงินจากAIIBได้เป็นเงินหยวน เงินบาท เงินวอนของเกาหลี หรือเงินสกุลอื่นของประเทศสมาชิกของAIIBได้ สมมุติต่อไปอีกว่าลาวขอกู้หยวน บาทและวอนเป็นจำนวนเทียบเท่า$200ล้าน ทั้งจีน ไทยและเกาหลีก็ทำsyndication loan หรือปล่อยกู้ร่วมกันให้กับรัฐบาลลาวไป

ในกรณีนี้ เงินหยวนของจีน เงินบาทของไทย เงินวอนของเกาหลีที่ลงในAIIBจะมีบทบาทมากขึ้นในการค้าขายระหว่างประเทศ เงินลงขันของไทยในAIIBจะงอกเงยขึ้นมา

เป็นการได้ประโยชน์ของประเทศสมาชิกร่วมกัน โดยที่หยวนไม่จำเป็นต้องผูกขาด เหมือนกับที่ระบบการเงินโลกปัจจุบันออกแบบมาให้ดอลล่าร์ผูกขาดแต่เจ้าเดียว

จะเห็นได้ว่าจีนได้ทำข้อตกลงสว๊อปค่าเงินกับประเทศคู่ค้าแล้ว เพื่อต่อไปค้าขายกันเป็นหยวน/บาท หยวน/ริงกิต หยวน/วอน หยวน/เยน หยวนรูเบิ้ล หยวน/รูปี

วิธีการนี้จะช่วย 1. ล้มการผูกขาดดอลล่าร์ 2. ลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกับดอลล่าร์ 3. ลดค่าธรรมเนียมดอลล่าร์ 4. ลดความไม่สะดวกที่มาจากการต้องใช้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักเดียว

วิกฤติการเงินโลกที่ผ่านมาเป็นวิกฤติดอลล่าร์ และทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง1997 (กู้ดอลล่าร์มากไป) วิกฤติดอทคอมปี 2001 วิกฤติตลาดบ้านซับไพรม์ปี2007 วิกฤติWall Street 2008 ยกเว้นวิกฤติยูโรที่เกิดตั้งตั้งแต่2010เป็นต้นมา ตอนนี้ฝรั่งพยายามบอกว่าเป็นวิกฤติหยวน ทั้งๆที่หยวนยังแกร่ง แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีปัญหา แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์จีนในการเอาคืนกองทุนฝรั่งในสงครามการเงิน

AIIBเป็นทางเลือก หรือทางออกจากกับดักพิษดอลล่าร์กระดาษที่สร้างวิกฤติทั้วโลก แต่ละรอบของวิกฤติ พวกนายแบงค์เมการวยขึ้นๆ

เมื่อAIIBปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้นเป็นเงินของประเทศสมาชิก ความต้องการหรือดีมานด์ของดอลล่าร์จะน้อยลงตามลำดับ ถึงจุดๆหนึ่งเมื่อไม่มีใครต้องการดอลล่าร์ ดอลล่าร์จะไหลกลับสหรัฐก่อให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง

ผลก็คือ 1. เฟดต้องพิมพ์เงินมหาศาล ทำQE4,QE5, QE6, QE7...จนเจ๊งไปเองคามือตัวเอง
2.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลกที่ปล่อยกู้เป็นดอลล่าร์ หาลูกค้าไม่เจอ นั่งตบยุงกันเป็นแถว
3. ดอลล่าร์กลายเป็นกระดาษกงเต๊ก

จีนแย้มไพ่ออกมาให้เห็นแล้ว แต่เป็นไพ่นกกระจอก ฝรั่งเล่นไม่เป็น เพราะว่าคนละตำรา

5 ระดับของการเป็นเทรดเดอร์

5 ระดับของการเป็นเทรดเดอร์

นี่คือ 5 ระดับของเทรดเดอร์ ที่ทุกคนต้องเจอ ไม่มีใครสามารถข้ามขั้นได้ครับ ส่วนตัวผมเคยอ่านบทความนี้ซึ่งมีคนแปลและเรียบเรียงใหม่ในหลายเวอร์ชั่น หากผมไม่มีโอกาสได้อ่านบทความเกี่ยวกับระดับเหล่านี้แล้วผมคงจะยอมแพ้ไปนานแล้ว สุดท้ายนี้ผมจะเขียนมันออกมาให้ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายโดยภาษาของผมครับ



ขั้นเเรก  ไร้ความสามารถไร้สติ

เริ่มแรกเมื่อคุณเริ่มที่จะเทรด เพราะคุณได้ยินเรื่องราวมากมาย ว่าวงการนี้สามารถหาเงินได้มากมาย วิธีการสมัครต่างๆก็หาได้จาก Google เมื่อคุณเริ่มเทรดครั้งแรก ความรู้สึกเหมือนขี่จักรยาน มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย เวลาเราซื้อขึ้นกราฟกลับลง เราปิดออเดอร์ มาซื้อฝั่งตรงข้าม ราคาก็กลับไม่เป็นแบบที่เราคิด คุณจะเสียเพราะเหตุการณ์นี้ซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็ยังไม่ถอดใจ บางวันคุณได้กำไรเกินหนึ่งเท่าของพอร์ต เพราะคุณโชคดีเสียมากกว่าทำให้คุณคิดว่า นี่แหละเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ความฝันเกิดขึ้นอนาคตจะเทรดเป็นอาชีพ จะลาออกจากงานประจำ คุณคิดว่าการทำเงินจากการเทรดมันง่ายแสนง่าย แต่สุดท้ายคุณก็จะพบกับคำว่าขาดทุน เพราะการเทรดไม่ได้ใช้โชค ผมเชื่อว่าผู้คนเกินกว่า 50% ที่เข้ามารู้จักการเทรดล้มเหลว และถอดใจตั้งแต่ขั้นแรก และจะมีเพียงครึ่งเดียวที่ผ่านไประดับต่อไปได้ หากเขายอมรับความจริงได้ว่า การเทรดมันมีอะไรที่มากกว่าการซื้อขึ้นและลงคุณก็จะสามารถผ่านไปในระดับต่อไป



ขั้นที่สอง  มีสติแต่ไร้ความสามารถ

เอาล่ะตอนนี้คุณรู้แล้วว่าการเทรดมันมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องรู้ ตอนนี้แหละคุณจะทำการค้นคว้า หาบทความอย่างบ้าคลั่ง เริ่มทดสอบ EA หลายตัว บางคนถึงกับทุ่มเงินซื้อมาใข้เลยก็เป็นได้ เพราะแค่ได้ยินว่ามีคนใช้แล้วกำไร คุณเริ่มสรรหาหนึ่งร้อยพันหมื่น Indicator เพื่อหาสุดยอดอินดี้มหัศจรรย์ที่จะทำกำไรให้คุณได้มากๆ

พยายามหาจุดเข้าที่ดีที่สุด เสียเงินเป็นหมื่นๆเพื่อเรียนกับอาจารย์ทั้งหลายที่ตั้งตัวเป็นเทพ แต่สุดท้ายคุณก็ยังเทรดขาดทุนอยู่ดี บางครั้งคุณเรียนระบบกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เขาบอกว่า เขาสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องด้วยระบบนี้ แต่พอคุณนำระบบเดียวกันมาใช้บ้างคุณก็ยังขาดทุน คุณเริ่มบอกตัวเองในใจว่า โกหก คนพวกนั้นไม่ได้กำไรหรอก คุณจะเปลี่ยนระบบไปเรื่อยๆเพราะคุณคิดว่าต้องเจอระบบที่ทำกำไรให้คุณได้สักวัน ใครบอกอะไรให้ความรู้เรื่องไหน คุณก็ไม่ฟังเพราะคุณคิดว่าคุณรู้ไปซะทุกเรื่องแล้วที่เขาพูด คุณเริ่มล้างพอร์ต หนึ่งครั้ง และอีกหลายๆครั้งตามมา กลุ่มคนที่เข้ามาถึงระดับนี้ได้อาจจะล้มหายตายจากไปตั้งแต่ 3 เดือนแรก และยังมีอีกกลุ่มที่พยายามแต่แล้วก็ยังวนเวียน อยู่ในระดับนี้ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แล้วมาถึงจุดหนึ่งคุณก็จะเริ่มค้นพบ และก้าวข้ามไปสู่ขั้นที่สาม



ขั้นที่สาม  ค้นพบความจริง

ตอนนี้ล่ะครับ คุณจะเริ่มค้นพบความจริงว่า สิ่งที่คุณศึกษาหรือเจอมามันไม่ได้สูญเปล่า โอกาสในการทำกำไรนั้นมีเสมอ แม้แต่การใช้ MA เพียงเส้นเดียวก็สามารถทำกำไรได้ ถ้าหากคุณมีความเข้าใจ มีวินัย และการบริหารจัดการทุนที่ดี คุณเริ่มเลือกใช้เครื่องมือเพียงหนึ่งหรือสองตัว คุณเริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่ใครหรอกที่สามารทำนายอนาคตได้ ทุกอย่างในหัวคุณตอนนี้มันปะติดปะต่อกัน คุณเริ่มใส่ใจในทุกๆออเดอร์ที่คุณเข้า คุณเริ่มใส่ใจในระบบการลงทุนของคุณ ตอนนี้คุณไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง คุณจดจ่ออยู่กับวิถีที่คุณเลือกเท่านั้น มีทั้งออเดอร์ที่ทำกำไรให้คุณและเมื่อขาดทุนคุณก็แค่ปิดมันไป เพราะคุณรู้ว่าระบบของคุณมันทำงานยังไง ตอนนี้เริ่มใส่ใจกับทุกๆการเคลื่อนไหว ศึกษาจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการลงทุน เมื่อขาดทุนคุณก็รู้ว่าการขาดทุนครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าระบบของคุณไม่ดี คุณเริ่มคิดถึงหลายๆคนที่เคยแนะนำเทคนิคต่างๆในอดีตพร้อมกับยิ้มเพราะตอนนั้นคุณยังไม่พร้อม แต่ตอนนี้คุณพร้อมแล้วและรู้ว่าทุกอย่างมันไม่ได้สูญเปล่า ช่วงเวลาที่คุณเข้าใจมันเริ่มต้นจากการยอมรับว่าคุณเองไม่สามารถทำนายตลาดได้



ขั้นที่สี่  มีสติและมีความสามารถ

ตอนนี้คุณเริ่มเทรดเมื่อระบบของคุณบอกให้เทรด คุณปิดกำไร และตัดขาดทุนเมื่อระบบของคุณบอกให้ทำ

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าแท้จริงระบบของคุณสามารถทำกำไรได้มากกว่าที่มันขาดทุน นี่คือช่วงเวลาที่เรียกว่าความาสำเร็จ เงินที่คุณเสียไปให้กับตลาดทั้งหมด เริ่มไหลกลับเข้ามา คุณรู้แล้วว่าความพยายามทั้งหมดของคุณไม่ได้สูญเปล่า วันแล้ววันเล่าคุณทำกำไรและยิ้มให้ กับตลาด Forex คุณอาจจะได้กำไรในออเดอร์นี้ 20 จุด ออเดอร์ต่อไปคุณขาดทุน 35 จุด คุณก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะการเทรดไปเรื่อยๆมันจะสร้างกำไรได้มากกว่าทุนที่คุณเสียไป คุณเริ่มได้รับการยอมรับจากเทรดเดอร์ที่คุณคุยด้วย และพอร์ตของคุณก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ



ขั้นที่ห้า  ไร้สติแต่มีความสามารถ

สุดท้ายมันถึงวันที่คุณปั่นจักรยานเป็น มันเหมือนกับการที่คุณปั่นจักรยานมานานมากแล้ว จนสามารถปล่อยมือหนึ่งข้าง และสองข้าง การเทรดก็เหมือนกิจวัตรประจำวันของคุณไปแล้ว มันเหมือนกับการกินข้าว การอาบน้ำ แปรงฟัน คุณทำกำไรได้ต่อเนื่อง การเทรดมันอยู่ในสัญชาตญาณของคุณ คุณจะรู้สึกขำเมื่อเห็นมือใหม่พิมพ์ในช่องแชทว่า "กราฟจงขึ้น กราฟจงขึ้น" เหมือนกับการเชียร์มวย เพราะคุณก็เคยมีช่วงเวลานั้นมาก่อน คุณกลายเป็นคนที่น่าจับตามอง ทุกๆคอมเม้นที่คุณพิมพ์แสดงความคิดเห็นลงไปในกระทู้ เป็นสิ่งที่มีค่า และสุดท้ายทุกอย่างมันก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อไปเสียแล้ว คุณเริ่มห่างเหินจากวงการ เทรดแบบสงบๆ มือคู่นี้ของคุณสามารถทำเงินได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด คุณเริ่มท่องเที่ยว ใช้ชีวิตแบบที่คุณเคยฝัน ทุกอย่างเป็นอิสระ

คุณสามารถเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากได้ว่า "คุณคือเทรดเดอร์" ขอให้จำไว้ว่ามีเพียง 5% เท่านั้นที่จะมาสู่ระดับที่ 5 ได้ 5% ที่เข้ามาสู่ระดับนี้ได้ไม่ใช่เพราะเขาฉลาด แต่เป็นเพราะเขาสามารถปรับตัวและอยู่ตลอดในตลาดแห่งนี้ได้



ขอบคุณข้อมูลจาก

 Traveller trader