วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563

New Normal ที่จะเกิดขึ้นหลัง COVID-19


แม้ว่าเหตุการณ์จะสิ้นสุดลงไปแล้ว
สิ่งที่เราทำในช่วง COVID-19 ระบาดตอนนี้ อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ (New Normal)
จากนโยบายการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home
ที่มีการพูดถึงกันมาช่วงหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่เกิดอย่างจริงจังเสียที
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมาตรการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายภายในเวลาไม่ถึงเดือน
เนื่องจากสถานการณ์การระบาดเริ่มรุนแรงขึ้น
เรื่องนี้ยังรวมไปถึงการที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ต้องเปลี่ยนมาสอนผ่านช่องทางออนไลน์
จากที่พ่อแม่ของเรา ชอบไปซื้อของจากซูเปอร์มาร์เก็ต
แต่จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้พวกเขาทดลองสั่งของให้มาส่งที่บ้านแทน
จากที่พ่อแม่ของเรา ชอบไปทานอาหารนอกบ้านในร้านอาหาร
แต่จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้พวกเขาเริ่มสั่งอาหารมาทานที่บ้าน
และแม้ว่าการระบาดจะจบลงแล้ว
คนเราก็อาจจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ จนทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมใหม่ไปแล้ว
หลายคนอาจมองว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วแม้จะไม่มีโควิด-19
แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมเดิมๆ ก่อนหน้านี้
ซึ่งพอมีปัจจัยโควิด-19 เข้ามา จึงเป็นการบังคับไปในตัวว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้จะมีหลายธุรกิจที่เกิดใหม่ และได้ประโยชน์
หลายธุรกิจที่รอ “เวลา” ในการ Disruption จะ Disrupt ได้เร็วขึ้น โดยมีโคโรนาไวรัสเป็น “ตัวเร่งเวลา”
ในขณะเดียวกัน ก็จะมีอีกหลายธุรกิจที่ถูกเร่งให้ Disrupt เร็วขึ้น
และจะมีอีกหลายธุรกิจที่คิดผิด คิดว่าหลังเหตุการณ์นี้ ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม แต่มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เพราะมีโคโรนาไวรัสเป็นตัวที่ทำให้พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนไป
หรือแม้พฤติกรรมมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยน ก็จะมีอีกหลายธุรกิจที่ทนไม่ไหวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ได้ล้มหายตายจากไปเสียก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ก่อหนี้ไว้มาก หรือธุรกิจที่มีต้นทุนคงที่สูง
นอกจากนั้นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่น่าจะกำลังตามมาก็คือ “การตามติดชีวิตตัวเอง”
จริงๆ แล้วช่วงที่ผ่านมาเรื่องนี้ก็เริ่มได้รับความสนใจบ้างแล้ว
สังเกตได้จากตลาดอุปกรณ์สวมใส่ติดตัวหรือ Wearable ที่โตระเบิด
ไม่ว่าจะเป็นหูฟัง สมาร์ตวอตช์ หรือสายรัดข้อมืออัจฉริยะ
โดยในปี 2019 ทั่วโลกมีการขายอุปกรณ์เหล่านี้เกือบ 340 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นถึง 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน
เรานอนวันละกี่ชั่วโมง นอนเพียงพอหรือไม่ มีคุณภาพหรือเปล่า
เราวิ่งได้ระยะทางแค่ไหน ทำความเร็วได้เท่าไร
เรารับประทานอะไรเข้าไปบ้าง คิดเป็นกี่แคลอรี แล้วเบิร์นหมดหรือยัง
อัตราการเต้นของหัวใจเราเป็นอย่างไร ตอนนี้มีความเครียดหรือไม่
และเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น การตามติดชีวิตตัวเอง ก็เข้มข้นขึ้นตามไปด้วย
ในแต่ละวันเราไปไหนมาบ้าง
ตอนนี้ร่างกายของเราอุณหภูมิเท่าไร มีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ก็อาจไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเราที่สนใจ..
ในสถานการณ์แบบนี้ การควบคุมการระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ อาจหมายถึงการที่รัฐบาลต้องสามารถควบคุมประชาชนได้อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งการตามติดชีวิตของประชาชนเพื่อระบุความเสี่ยง
หรือลงโทษคนที่ไม่ทำตามข้อบังคับ
ถ้าเป็นสมัยก่อน รัฐบาลอาจต้องจัดหาเจ้าหน้าที่เป็นล้านคนเพื่อติดตามคนทั้งประเทศ
แต่ตอนนี้โลกของเรามีเทคโนโลยีที่พัฒนาจนสามารถทำงานเหล่านี้แทนได้แล้ว
และเรื่องนี้ก็กำลังเกิดขึ้น..
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศจีน ที่ควบคุมประชาชนอย่างใกล้ชิดผ่านสมาร์ตโฟน และกล้องตรวจจับใบหน้าทั่วประเทศ
การบังคับให้ประชาชนรายงานอุณหภูมิร่างกายและอาการทางสุขภาพเป็นประจำ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยให้จีนสามารถจัดการกับโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว
จีนสามารถระบุได้ทันทีว่าใครเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยบ้าง
นอกจากจีนแล้ว ประเทศที่ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีไม่แพ้กัน เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน
ก็มีการติดตามข้อมูลการเดินทางของผู้ติดเชื้อ เพื่อให้ประชาชนสามารถหลีกเลี่ยงจุดเสี่ยงต่อการติดโรค
พอเรื่องเป็นแบบนี้ รัฐบาลประเทศอื่นก็จะเริ่มมองเห็นประโยชน์ของการติดตามประชาชนของตัวเอง ซึ่งทำให้เกิดการควบคุมโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งติดตามได้ลึกเท่าไร รัฐบาลก็จะยิ่งควบคุมสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น
ก็ไม่แน่ว่า ในอนาคตรัฐบาลอาจต้องการให้ประชาชนทุกคนสวมสายรัดข้อมืออัจฉริยะ
ที่คอยตรวจอุณหภูมิของร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ และนำข้อมูลเหล่านี้มาเข้าสู่ระบบประมวลผล
ในแง่หนึ่ง มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะความเสียหายจากโรคระบาดก็อาจจะไม่รุนแรงเท่านี้
เพราะรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็แปลว่า ความเป็นส่วนตัวของประชาชนก็จะถูกลดทอนไปด้วย
รัฐบาลในแต่ละประเทศ จะไม่เหมือนเดิม ความเข้มงวดน่าจะมีมากขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องคิดสำหรับประเทศที่มีการปกครองโดยเน้นเสรีภาพ
ไม่ว่าจะอย่างไร
เหตุการณ์ในครั้งนี้ คงไม่ได้เป็นบทเรียนกับแค่ประเทศจีน อิตาลี หรือ สหรัฐอเมริกา
แต่มันจะเป็นตัวจุดประกายย้ำเตือนมนุษยชาติว่า
ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่สามารถทำลายล้างมนุษย์ได้โดยไม่สนใจสิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้นมาว่าเขามีชนชาติอะไร สีผิวอะไร มีความมั่งคั่งแค่ไหน
ในขณะที่มนุษย์ยังมีความบาดหมาง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก่อสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามอาวุธ หรือสงครามการค้า
แต่หารู้ไม่ว่า ศัตรูที่แท้จริงของพวกเขา อาจไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันเอง
ดังนั้น New Normal ที่ควรจะเป็นมากที่สุดสำหรับโลกนี้ก็คือคำว่า “สันติภาพ”
สันติภาพ และความร่วมมือกัน เป็นสิ่งท้าทายที่มนุษย์ทุกคนบนโลกควรมีไว้เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าวันนี้
เพราะไม่มีอะไรมารับประกันว่า ในอนาคตจะไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรงถึงขีดสุดกว่าวันนี้
แต่ก็อย่างที่รู้กัน
คำว่าสันติภาพดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ยากสุด ในการทำให้เป็น New Normal ของโลกนี้เช่นกัน..
/โดย ลงทุนแมน
สนับสนุนเราโดยเปิดบัญชีเทรด สเปรดต่ำ ฝากถอนไว ได้ที่ 
Exness  https://www.exness.com/a/uh16i33c เทรดได้ทั้ง Crypto ทอง และ Forex
เปิดบัญชีแล้ว แจ้งข้อมูลที่ Line ID: moo.oun เพื่อเข้ากลุ่มวิเคราะห์การเทรด

9 เหตุผลที่จะสามารถทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น (หรืออาจจะลดลงยิ่งกว่าเดิม)

5 กรณีที่ดีที่สุดหากว่าอุปทานน้ำมันลดลง

แต่ละข้อหมายถึงแต่ละเหตุการณ์ซึ่งมีเหตุผลเป็นของตัวเองและไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
1. รัสเซียตัดสินใจไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน มีสัญญาณความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นเพราะในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานนายอเล็กซานเดอร์ โนวาคและบริษัทผู้ผลิตน้ำมันของรัสเซียมีการถกเถียงกันในหัวข้อการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน สาเหตุหลักๆ มาจากความต้องการน้ำมันดิบที่ลดลงเพราะโควิด-19
2. สงครามราคาน้ำมันส่งผลเสียให้กับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หากว่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่าย ชะลอการผลิต หรือล้มละลายจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก EIA คาดการณ์ว่าตัวเลขกระบวนการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ อาจลดลงไปต่ำกว่า 13 ล้านบาร์เรลต่อวันในขณะที่ Rystad Energy วิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมหินน้ำมันของสหรัฐฯ อาจหดตัวมากถึง 30% ในปีนี้เพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคตและรัฐบาลต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการสู้กับไวรัสโคโรนา นักวิเคราะห์ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ ในปี 2020 จะร่วงลงถึงขนาดไหน เป็นไปได้ว่าอาจจะต่ำกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าการลดลงของราคาน้ำมันสหรัฐฯ ขนาดนั้นจะทำให้ภาคแรงงานมีปัญหามากขึ้นแต่ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นได้
3. ซาอุดิอาระเบียคิดได้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องผลิตน้ำมันปริมาณ 12 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้วหันมาใช้น้ำมันที่เก็บอยู่ในคลังวันละ 300,000 บาร์เรลต่อวันแทนในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เหตุผลเพราะว่าการลดราคาน้ำมันแข่งของซาอุดิอาระเบียท้ายที่สุดแล้วจะเป็นการทำลายวงการน้ำมันในระยะยาว กว่าพวกเขาจะเริ่มกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำมันดิบคงคลังก็ต้องรอให้บริษัทน้ำมัน Aramco สามารถเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมาเป็น 13 ล้านบาร์เรลต่อวันให้ได้เสียก่อน อีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือซาอุดิอาระเบียไม่สามารถหาหรือรักษาลูกค้าน้ำมันไม่ไดเจากวิกฤตน้ำมันครั้งนี้
4. น้ำมันที่มาจากประเทศ เวเนซุเอลา อิหร่านและลิเบียยังคงไม่สามารถส่งออกมาได้จากปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ
5.โอเปกตัดสินใจทำสัญญาถ่วงดุลตลาดน้ำมันดิบใหม่และพยายามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประเทศพันธมิตรนอกโอเปกที่เหลือ เหตุการณ์นี้เราอาจจะได้เห็นอย่างเร็วที่สุดคือปลายเดือนมิถุนายน


4 กรณีที่เลวร้ายที่สุดหากว่าอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้น

1. รัสเซียยังคงพยายามแย่งลูกค้ารายใหญ่อย่างจีนมาจากซาอุดิอาระเบียด้วยราคาน้ำมันที่ถูกกว่าและเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายน มีรายงานว่ารัสเซียจะส่งน้ำมันจำนวน 12 ล้านบาร์เรลไปให้จีนในอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้า
2. รัฐบาลของสหรัฐฯ ได้เข้าไปอุ้มบริษัทผู้ผลิตน้ำมันในประเทศที่ทนการขาดทุนไม่ไหวอีกต่อไป ตลาดหุ้นและนักลงทุนในวอลล์สตรีทที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการทำ QE ไม่จำกัดอาจเลือกไปลงทุนในบริษัทน้ำมันซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ไม่ตกต่ำลงไปถึงระดับที่นักวิเคราะห์กลัว
3. ซาอุดิอาระเบียยังคงดื้อดึงและไม่สนความเดือดร้อนของโลกหรือแม้กระทั้งคำขอร้องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ให้หยุดสงครามส่วนตัวไว้ก่อนแล้วหันมาทำเพื่อส่วนรวม ก่อนหน้านี้ไม่นานซาอุดิอาระเบียพึ่งออกมาบอกว่าพวกเขาจะเพิ่มอุปทานน้ำมันอีก 12.3 ล้านบาร์เรลในเดือนเมษายนและจะดำเนินนโยบายเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบคงคลังไปเรื่อยๆ ตลอดช่วงซัมเมอร์นี้
4. โอเปกและกลุ่มประเทศพันธมิตรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในเดือนมิถุนายนหรือธันวาคมปี 2020 นี้

โดยสรุปแล้ว…

อย่างที่เคยเป็นมาและจะเป็นตลอดไป...สิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตลาดราคาน้ำมันดิบมากที่สุด (สำหรับคนที่ลงทุนในตัวเลขไม่ใช่น้ำมันจริงๆ) คือบรรยากาศและความเชื่อในตลาดลงทุน คำถามหนึ่งที่จะช่วยให้นักลงทุนน้ำมันสามารถประเมินได้คือให้ลองตั้งคำว่าดูว่าตอนนี้ “นักลงทุนน้ำมันกำลังรู้สึกว่าอุปทานน้ำมันมีมากหรือน้อยเกินไป?”
การลดลงของการผลิตน้ำมันจากหินน้ำมันของสหรัฐฯ แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็มากพอที่จะสร้างผลกระทบภายนอกและปฏิกริยาที่นักลงทุนมีต่อข่าว เช่นเดียวกันกับความเคลื่อนไหวของพี่ใหญ่แห่งโอเปกและวงการน้ำมันอย่างซาอุดิอาระเบีย รายงานความเคลื่อนไหวหรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับน้ำมันของซาอุดิอาระเบียและหินน้ำมันของสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดร่วงลงได้ในสัปดาห์หรือเดือนหน้า
ที่มา : โดย Ellen R. Wald, Ph.D.  Investing.com
สนับสนุนเราโดยเปิดบัญชีเทรด สเปรดต่ำ ฝากถอนไว ได้ที่ Exness  https://www.exness.com/a/uh16i33c เทรดได้ทั้ง Crypto ทอง และ Forex
เปิดบัญชีแล้ว แจ้งข้อมูลที่ Line ID: moo.oun เพื่อเข้ากลุ่มวิเคราะห์การเทรด

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2563

ด่วน ! #สงครามราคาน้ำมัน ยังปั่นป่วน !

 ทางรัสเซียออกมาปฏิเสธข่าวการร่วมมือกับสหรัฐและซาอุดีอาระเบียเพื่อควบคุมการผลิตน้ำมันร่วมกัน ! และย้ำว่าไม่ต้องการให้ใครเข้ามาช่วยในสงครามของตัวเอง... ทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงจาก +เกือบ 10% วันนี้ลงมาติดลบทันที !
สมกับเป็น 🇷🇺 รัสเซียนะครับ ที่เด็ดเดี่ยวมากๆ ทั้งๆที่ทางสหรัฐอาจจะเกือบหยิบยื่นทางออกของข้อพิพาทในสงครามราคาครั้งนี้แล้ว (เพราะทางรัสเซียคงไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายจนเป็นสงครามราคาตอนแรก)
ถ้าใครได้ติดตามเพจเราจะเห็นบทความล่าสุดที่อัพเดทไปช่วงบ่ายว่า ทางสหรัฐอาจเสนอให้ทั้ง 3 ประเทศ 🇺🇸 สหรัฐ 🇷🇺 รัสเซีย และ 🇸🇦 ซาอุ มาร่วมกันลดกำลังการผลิตกันคนละ 10% ทุกคน หารส่วนแบ่งตลาดร่วมกันเพื่อพยุงราคาน้ำมันกลับขึ้นไปใหม่อีกครั้ง
หากเป็นอย่างนั้นจริงจะไม่เพียงจบ #สงครามราคาน้ำมัน ในปัจจุบัน แต่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้ผลิตใหญ่ที่สุดในโลก 3 รายจะมาร่วมมือกัน และมีส่วนแบ่งตลาดรวมกับพันธมิตรอื่นๆอีกเกินกว่า 60% ของโลก
โดยข่าวนี้ทำให้ราคาน้ำมันดีดขึ้นถึง +8% ระหว่างวันนี้ แต่ก็ร่วงลงมาทันทีเย็นนี้หลังทางรัสเซียปฏิเสธข่าว จน Brent กำลังซื้อขายอยู่ที่ 29 เหรียญหรือ +2.5% วันนี้

สนับสนุนเราโดยเปิดบัญชีเทรด สเปรดต่ำ ฝากถอนไว ได้ที่ Exness  https://www.exness.com/a/uh16i33c เทรดได้ทั้ง Crypto ทอง และ Forex
เปิดบัญชีแล้ว แจ้งข้อมูลที่ Line ID: moo.oun เพื่อเข้ากลุ่มวิเคราะห์การเทรด

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2563

บทสรุปตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังจากผ่านวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563 ก็ถือได้แล้วว่าเรากำลังอยู่ในวิกฤติตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ว่างเว้นจากวิกฤติมา 12 ปีนับจากวิกฤติซับไพร์มในปี 2551 เหตุผลก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นได้ตกลงมาอย่างแรงถึง 10% จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้ “Circuit Breaker” ถึง 2 ครั้งในสัปดาห์เดียว และถ้าคิดจากสิ้นปีที่แล้ว ดัชนีก็ตกลงมาแล้วเกือบ 30% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ดัชนีตลาดตกลงมาจาก 1,580 จุดเหลือเพียง 1,129 จุด หรือลดลงมาถึง 451 จุด นอกจากนั้น ถ้าคิดว่าดัชนีตลาดในช่วงประมาณ 2 ปีมานี้เคยอยู่ที่ระดับสูงสุดกว่า 1,800 จุด ดัชนีตลาดก็ตกลงมาเกือบ 40% แล้ว ดังนั้น นี่คือภาวะวิกฤติตลาดหุ้นเต็มตัวซึ่งต่อไปนี้ผมจะเรียกว่าเป็น “วิกฤติโควิด19” ประเด็นก็คือ มันจะตกต่อไปหรือไม่ เป็นเวลาที่เราจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นหรือยัง?
ก่อนที่จะตอบคำถาม ผมอยากจะเล่าเรื่องเพื่อที่จะให้เข้าใจธรรมชาติของวิกฤติตลาดหุ้นของไทยที่ผ่านมาเสียก่อน น่าแปลกที่ว่าวิกฤติตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยพอสมควรและมักจะมาหลังจากเกิดวิกฤติครั้งก่อนไม่เกินประมาณทุก 10 ปี เริ่มตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นในช่วงแรก ๆ ในปี 2522 เราก็เกิดวิกฤติ “ราชาเงินทุน” ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนที่เกิดปัญหาล้มละลายเนื่องจากปล่อยเงินกู้ให้นักลงทุนไปซื้อหุ้นชองบริษัทเองเพื่อ “ปั่นหุ้น” ซึ่งในช่วงเวลานั้นไทยยังไม่มีกฎหมายป้องกันหรือปราบปรามการปั่นหุ้น ราคาของหุ้นโดยเฉพาะของราชาเงินทุนปรับตัวขึ้นสูงลิ่วพร้อม ๆกับหุ้นอื่น ๆ โดยเฉพาะหุ้นของกลุ่มบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ดัชนีตลาดวิ่งขึ้นจากสิ้นปี 2519 ที่ 83 จุด เป็น 258 จุดเมื่อสิ้นปี 2521 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 210% ในเวลาเพียง 2 ปี เมื่อวิกฤติเกิดขึ้น ดัชนีตกลงมาเหลือเพียง 149 จุดตอนสิ้นปี หรือตกลงมา 42% หลังจากนั้น ดัชนีก็ตกลงมาเรื่อย ๆ คนเลิกสนใจในตลาดหุ้นเพราะรู้สึกว่าตลาดหุ้นที่เพิ่งเปิดมาไม่นานนั้น เป็นแหล่งการเก็งกำไรหรือการพนัน จนกระทั่งถึงสิ้นปี 2528 หรือเป็นเวลาถึง 6 ปีที่ดัชนีก็ยังอยู่ที่ 135 จุด
ตลาดเริ่มฟื้นตัวอย่างแรงอานิสงค์จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงินเศรษฐกิจและลดค่าเงินบาทซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยเฟื่องฟู ดัชนีตลาดหุ้นพุ่งขึ้นแรง ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ดัชนีตลาดก็ปรับตัวขึ้นจาก 135 จุดเป็น207 จุดเมื่อสิ้นปี 2529 หรือเพิ่มขึ้น 53% และพอถึงเดือนตุลาคมปี 2530 ดัชนีก็ขึ้นไปถึงประมาณ 430 จุดหรือขึ้นไปอีกกว่า 100% ในเวลาประมาณ 9 เดือน แต่แล้วในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ก็ถล่มทลายตกลงมาถึง 508 จุดหรือตกลงมาถึง 23% ในวันเดียว ซึ่งน่าจะถือเป็นการตกที่แรงที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงวันนี้ยังไม่มีวันที่ลบสถิติได้ อานิสงค์สำคัญส่วนหนึ่งจากการเทรดของคอมพิวเตอร์ที่เริ่มมีการใช้ในตลาดหุ้นนิวยอร์ค นั่นคือวิกฤติ “Black Monday”
ตลาดหุ้นไทยในวันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2530 ก็ตกตามตลาดนิวยอร์คลงมาแบบ “วิกฤติ” จนถึงสิ้นปีดัชนีตกลงมาเหลือ 285 จุดหรือตกลงมา ประมาณ 33% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน อย่างไรก็ตามดัชนีก็ยังสูงกว่าตอนต้นปีที่ 207 จุด ถึง38% ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ไม่ขวัญเสียตกใจและถือหุ้นต่อไปก็ไม่ถูกกระทบอะไรเลย มันเป็นวิกฤติที่ไม่ได้มาจากเรื่องของเศรษฐกิจแต่อาจจะมาจากการที่หุ้นขึ้นร้อนแรงเกินไปและมีการปรับตัวแรงเนื่องจากการเทรดด้วยคอมพิวเตอร์ที่สั่งการอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดการขายอย่างต่อเนื่องจนควบคุมไม่อยู่มากกว่า และมันก็ลามมาถึงตลาดหุ้นไทยซึ่งก่อให้เกิดวิกฤติตลาดหุ้นครั้งที่สองในระยะ 8-9 ปีหลังจากการเกิดวิกฤติครั้งแรก
วิกฤติตลาดหุ้นไทยครั้งที่ 3 นั้นดูเหมือนว่าจะคล้าย ๆ ครั้งที่สองและเกิดขึ้นเพียง 3 ปีนับจาก Black Monday นั่นก็คือวิกฤติสงครามอ่าวเปอร์เซียที่เกิดในช่วงกลางปี 2533 ที่ซัดดัม อุสเซนของอิรักบุกยึดครองคูเวตส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยที่กำลังร้อนแรงมากตกลงมาจากประมาณ 1,100 จุด เหลือเพียง 550 จุด หรือลดลง 50% ในเวลา 4-5 เดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อสหรัฐบุกเข้าไปปลดปล่อยคูเวตได้สำเร็จ ดัชนีหุ้นก็ปรับตัวขึ้นไปแรง เหตุการณ์นี้แทบไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจเลยคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ Black Monday ดังนั้น หุ้นจึงฟื้นตัวเร็วมากหลังเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดวิกฤติผ่านไป
วิกฤติตลาดหุ้นไทยครั้งที่ 4 นั้นคือวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 นี่คือวิกฤติที่รุนแรงที่สุดในประเทศไทย ปัญหาที่ก่อให้เกิดวิกฤติมาจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยมีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลอานิสงค์จากการย้ายฐานการผลิตทางอุตสาหกรรมจากญี่ปุ่นและการเปิดเสรีทางการเงินของไทยที่อนุญาตให้นำเงินจากต่างประเทศมาลงทุนหรือปล่อยกู้ได้ และนั่นก็ก่อให้เกิดปัญหา เพราะธุรกิจขนาดใหญ่ต่างก็กู้เงินดอลลาร์ระยะสั้นที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินบาทมากเพราะเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัวมาลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการเงินทุนระยะยาว ในระหว่างนั้นเอง ดูเหมือนว่าค่าเงินบาทจะแข็งตามดอลลาร์ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีปัญหาทำให้เกิดการขาดดุลการค้าสูงมาก จนในที่สุดเงินดอลลาร์สำรองของประเทศก็หมดลงส่วนหนึ่งจากการเข้ามาเก็งกำไรของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับโลกอย่างของจอร์จโซรอส ทำให้แบ้งค์ชาติจำเป็นต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวซึ่งทำให้ค่าเงินบาทลดลงมาถึง 50% ในช่วงเวลาหนึ่งส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่เกือบทั้งประเทศเกือบล้มละลาย รวมถึงสถาบันการเงินเกือบทั้งหมดขาดสภาพคล่อง กลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาถึง 55% ในปี 2540 หลังจากที่ตกลงมาประมาณ 40% แล้วในปี 2539 “วิกฤติต้มยำกุ้ง” นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจที่ร้อนแรงและผสมกับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปสูงก่อนหน้านั้น เมื่อเกิดวิกฤติ ผลกระทบต่อดัชนีจึงสูงมาก ดัชนีเคยอยู่สูงถึง 1,754 จุดในต้นปี 2537 พอสิ้นปี 2540 ดัชนีลดลงมาเหลือเพียง 373 จุดหรือลดลงถึงเกือบ 80% และใช้เวลานานมากกว่าที่ดัชนีหุ้นจะกลับที่เดิม ว่าที่จริงในปี 2543 หรือปี คศ. 2000 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็วิกฤติอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 5 ดัชนีหุ้นตกลงมาถึง 44% จาก 482 จุดเหลือ 269 จุด ตามวิกฤติด็อตคอมของอเมริกา อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจอะไร เพราะตลาดหุ้นไทยในเวลานั้นเหงาหงอยมาก มีการซื้อขายหุ้นต่อวันเพียง 3-4,000 ล้านบาท ไม่มีใครสนใจว่าหุ้นจะขึ้นหรือตกหรือวิกฤติ
เวลาผ่านไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจนถึงปี 2551 เราก็ประสบกับวิกฤติครั้งที่ 6 คือวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอเมริกา ปัญหาคือเศรษฐกิจของอเมริกานั้นร้อนแรงมีการปล่อยกู้ให้แก่คนซื้อบ้านที่ไม่มีกำลังซื้อจริงหรือเป็น “ซับไพร์ม” เสร็จแล้วสถาบันก็เอาหนี้ไปขายต่อโดยทำวิศวกรรมการเงินให้เป็น “หนี้ดี” แต่ในที่สุดระบบก็ล่ม สถาบันการเงินที่ทำก็ล่ม เศรษฐกิจมีปัญหา หุ้นตกลงมาประมาณ 40% เป็นวิกฤติ ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาประมาณ 50% จาก 800 จุดเป็น 400 จุด ในช่วงปี 2551 แต่หลังจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2 ปีดัชนีก็ขึ้นไปเกิน 1,000 จุดแล้ว เหตุผลก็เพราะเศรษฐกิจไทยถูกกระทบน้อยมาก ในขณะที่สหรัฐและประเทศที่ก้าวหน้าของโลกต่างก็ทำ QE อัดฉีดเงินเข้าระบบมากอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวมาจนถึงทุกวันนี้
วิกฤติโควิด19 นั้น ที่จริงมี “สัญญาณ” มาหลายปีแล้ว นั่นคือ เศรษฐกิจของอเมริการ้อนแรงมานานพร้อมกับดอกเบี้ยที่ตกต่ำสุด ๆ มานาน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นร้อนแรงมากมานานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากนั้น เริ่มเกิด “Inverted Yield Curve” ซึ่งในอดีตบอกว่ามักจะตามมาด้วยวิกฤติ แต่คนก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นสาเหตุ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสาเหตุน่าจะมาจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกาเป็นตัวเริ่ม ตามมาด้วยไวรัสโควิดที่เริ่มที่จีน ต่อมามีสงครามราคาน้ำมันและโควิดที่ลามไปทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยเอง เราเริ่มวิกฤติในยามที่ดัชนีตลาดเหงาหงอยมา 6-7 ปีแล้ว อานิสงค์จากเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงมาในเวลาเท่า ๆ กัน เรามีปัญหาสังคมสูงอายุที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วอันดับต้น ๆ ของเอเชีย เรามีปัญหาการเมืองที่คนยังตกลงกันไม่ได้ว่าประเทศควรจะไปทางไหนโดยเฉพาะระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า เรากำลังเข้าสู่วิกฤติในยามที่เราอ่อนแอที่สุดไม่เหมือนในอดีตที่เราแข็งแรงทุกครั้งที่มีวิกฤติ อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์บอกเราว่าเราฟื้นตัวมาได้เสมอ อะไรจะทำให้เราฟื้นตัวได้ผมไม่รู้ อาจจะเป็นเรื่องที่คนไทยที่ “รวย” ยังมีเงินสดอยู่มากที่ถูกเก็บสะสมมานาน เงินนี้ไม่มีที่ลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีพอ ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไปและคนตระหนักว่าหุ้นถูก ๆ ของบริษัทที่ยังมั่นคง ทำกำไรได้ดีพอใช้และสามารถจ่ายปันผลปีละ 4-5% ได้ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อนั้นหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมา อาจจะไม่ได้โดดเด่นสูงมากอย่างที่เราเคยเป็นมาก่อน แต่ก็ดีพอ และในไม่ช้าโควิดก็จะจากไปเช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่จะปรับตัวขึ้นและโลกก็ฟื้นตัวกลับขึ้นมา ดังนั้น สำหรับผมแล้ว นี่เป็นเวลาซื้อหุ้นครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 มี.ค. 63
โดย Thai Forex Trader
พูดคุยกับเราได้ที่
You've been invited to join "Forex Group by Thai forex trader". Visit the link below to join the OpenChat.
https://line.me/ti/g2/TK6tBAlWZkN7rk5W2fGdTw…
สนับสนุนเราโดยเปิดบัญชีเทรด สเปรดต่ำ ฝากถอนไว ได้ที่ Exness  https://www.exness.com/a/uh16i33c เทรดได้ทั้ง Crypto ทอง และ Forex
เปิดบัญชีแล้ว แจ้งข้อมูลที่ Line ID: moo.oun เพื่อเข้ากลุ่มวิเคราะห์การเทรด

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2563

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนเทียบสกุลเงินหลัก เหตุนลท.คาดเฟดจะหั่นดอกเบี้ยลงอีกในเดือนนี้

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (6 มี.ค.) โดยถูกกดดันจากการที่นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนนี้ ขณะที่ดอลลาร์ไม่ได้รับแรงหนุนแต่อย่างใดจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด
ดัชนีดอลลาร์ซึ่งวัดค่าดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินสำคัญ ลดลง 0.91% สู่ระดับ 95.9613
ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 105.23 เยน จากระดับ 106.39 เยน, อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สวิส ที่ระดับ 0.9368 ฟรังก์ จากระดับ 0.9486 ฟรังก์ และเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแตะที่ระดับ 1.3423 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3427 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1314 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1199 ดอลลาร์, เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3013 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2945 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าแตะระดับ 0.6639 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6591 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยถูกกดดันจากการคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หลังจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% สู่ระดับ 1-1.25% ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19
บรรดานักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนมี.ค.นี้ โดย FedWatch tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า มีโอกาส 60.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.75% และมีโอกาส 39.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50%
ดอลลาร์ไม่ได้รับแรงหนุน แม้กระทรวงเกษตรสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 273,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 175,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี จากระดับ 3.6% ในเดือนม.ค.
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลงมากกว่าคาดในเดือนม.ค. โดยดิ่งลง 6.7% สู่ระดับ 4.53 หมื่นล้านดอลลาร์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 4.86 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.
สนับสนุนเราโดยเปิดบัญชีเทรด สเปรดต่ำ ฝากถอนไว ได้ที่ Exness  https://www.exness.com/a/uh16i33c เทรดได้ทั้ง Crypto ทอง และ Forex
เปิดบัญชีแล้ว แจ้งข้อมูลที่ Line ID: moo.oun เพื่อเข้ากลุ่มวิเคราะห์การเทรด

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563

ประเด็นที่น่าจับตาวันนี้ 4 Mar 2020


3 ประเด็นหลักที่น่าจับตาประจำวันนี้ (4 มี.ค.) 1. คาดว่าธนาคารกลางแคนาดาจะลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางแคนาดาจะมีกำหนดการประชุมนโยบายทางการเงินในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดหวังอย่างมากว่าจะต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยแน่นอน ผลการประชุมของธนาคารกลางแคนาดา จะรายงานออกมาในเวลา 10:00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (15:00 GMT) TD Securities คาดว่าธนาคารกลางแคนาดาจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25 จุดจาก 1.75% เป็น 1.5% โดยทางบริษัทเชื่อว่า “พวกเราไม่คาดหวังอะไรกับผลคาด
11:49
การณ์ทางเศรษฐกิจมากนักท่ามกลางสภาพของตลาดที่มีความผันผวนเช่นนี้" 2. ตัวเลขตลาดแรงงานจาก ADP), ดัชนีภาคกิจการบริการจาก ISM ปฏิทินเศรษฐกิจในวันนี้จะประกอบไปด้วยการรายงานตัวเลขตลาดแรงงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ประจำเดือนกุมภาพันธ์จาก ADP (NASDAQ:ADP) ในเวลา 8:15 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (13:15 GMT) อ้างอิงจากผลคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ Investing.com รวบรวมมา คาดว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรจาก ADP ในเดือนที่แล้วจะสูงขึ้น 170,000 ตำแหน่ง และในเวลา 10:00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก สถาบัน
11:49
การจัดการอุปทาน (ISM) จะรายงานดัชนีภาคกิจการบริการ ดัชนี PMI นอกภาคการผลิตจาก ISM คาดว่าจะต่ำลงจาก 55.5 เป็น 54.9 ส่วนในเวลา 14:00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก เฟดจะเผยแพร่รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book แม้ว่าเมื่อวานนี้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในระหว่างการประชุม แต่ผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยอาจยังไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนมากนัก 3. คาดว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ จะสูงขึ้น ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ แต่
11:49
ปิดตัวหลายทิศทางเนื่องจากตลาดหุ้นทรุดตัวลงอย่างฉับพลันและผู้ลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC ในการประชุมสัปดาห์นี้ การประชุมในกรุงเวียนนาของกลุ่ม OPEC จะมีกำหนดการเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้ โดยตลาดคาดว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย (ส่วนหนึ่งของกลุ่ม OPEC+) อาจตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันได้ในอัตราที่มากขึ้น ในวันนี้สำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐฯ (EIA) จะรายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ รายสัปดาห์ นักวิเคราะห์คาดว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับ
11:49
สัปดาห์ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์จะสูงขึ้น 2.64 ล้านบาร์เรล หลังเวลาตลาดปิดเมื่อวานนี้ สถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ได้รายงาน ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ที่แล้วที่สูงขึ้น 1.69 ล้านบาร์เรล
สนับสนุนเราโดยเปิดบัญชีเทรด สเปรดต่ำ ฝากถอนไว ได้ที่ Exness  https://www.exness.com/a/uh16i33c เทรดได้ทั้ง Crypto ทอง และ Forex
เปิดบัญชีแล้ว แจ้งข้อมูลที่ Line ID: moo.oun เพื่อเข้ากลุ่มวิเคราะห์การเทรด
11:50