ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 1.24% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.3767 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3598 ยูโร/ดอลลาร์ และดิ่งลง 1.05% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0661 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0774 ฟรังค์/ดอลลาร์
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.86% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.5790 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.5656 ปอนด์/ดอลลาร์ แต่ดีดตัวขึ้น 0.19% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 90.150 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 89.980 เยน/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.39% แตะระดับ 0.9014 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตเรลีย จากระดับ 0.8890 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตเรลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ทะยานขึ้น 1.39% แตะที่ 0.7069 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.6972 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
นักลงทุนเทขายดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนและข้อมูลภาคการผลิตที่สดใสของสหรัฐทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์และหันไปถือครองสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า โดยสหรัฐระบุว่าภาคการผลิตในนิวยอร์กขยายตัวขึ้นแข็งแกร่งเกินคาด โดยดัชนี Empire State Manufacturing Index เดือนก.พ.พุ่งขึ้นแตะระดับ 24.91 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 18 จุด และมากกว่าเดือนม.ค.ที่ระดับ 15.92 จุด
ธนาคารบาร์เคลย์ส เปิดเผยว่า ธนาคารสามารถทำกำไรสุทธิได้ 6.9 พันล้านปอนด์ (1.08 หมื่นล้านดอลลาร์) ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าระดับ 824 ล้านปอนด์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปีขยายตัวแตะระดับ 9.4 พันล้านปอนด์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากระดับ 4.4 พันล้านปอนด์ในปี 2551
สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อและเป็นดัชนีหลักที่ธนาคารกลางอังกฤษใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 3.5% ในเดือนม.ค. จากระดับ 2.9% ในเดือนธ.ค. ถือเป็นการขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันและภาษีการขายที่สูงขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น